แม็ก The Darkest Romance ชวนละเลียดความลุ่มลึกแห่งอารมณ์ในความมืดหลากมิติ
แม็ก The Darkest Romance ชวนละเลียดความลุ่มลึกแห่งอารมณ์ในความมืดหลากมิติ
9 ก.พ. 2567
SHARE WITH:
9 ก.พ. 2567
9 ก.พ. 2567
SHARE WITH:
SHARE WITH:
แม็ก The Darkest Romance ชวนละเลียดความลุ่มลึกแห่งอารมณ์ในความมืดหลากมิติ
“เพราะผมรู้สึกว่า ความเป็นมนุษย์เป็นสิ่งที่จริงที่สุดและประดิษฐ์ที่สุดในเวลาเดียวกัน”
ความเยาว์ การลาจาก ความตาย และอีกหลากหลายความรู้สึกแทนความเป็นมนุษย์ที่กลายมาเป็นชื่อเพลงหรือความหมายแฝงเร้นในสุ้มเสียงของ The Darkest Romance เป็นบทสนทนาที่พาเรามาทำความรู้จักกับ แม็ก - ธิติวัฒน์ รองทอง และเพลงของเขากับเพื่อนให้ลึกซึ้งขึ้นอีก
“ผมรู้สึกว่าในขณะที่ใครสักคนกำลังพยายามสร้างอะไรบางอย่างอยู่ เขาอาจจะต้องการให้คนเห็นหน้าฉากนั้น แต่ความจริงเขาอาจจะเป็นอีกแบบหนึ่ง หรือแม้กระทั่งคนบางคนอาจจะเลือกไม่ประดิษฐ์เลย เพราะตัวจริงกับสิ่งที่เขาเชื่อหรือสิ่งที่เขาอยากให้คนอื่นเห็นเป็นแบบเดียวกัน” แม็กขยายความจากประโยคข้างต้น
“ด้วยความซับซ้อนของจิตและความคิดมนุษย์ ผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะว่าจริงอยู่ว่าเพลงในตลาดมักจะพูดถึงเรื่องความรักความสัมพันธ์ หรือแม้กระทั่งเพลงรักเพลงอกหัก แต่จริงๆ แล้วคำว่าเลิกกันในความเป็นมนุษย์ก็มีหลายมิติ การเลิกกันมันอาจจะเกิดจากคนแค่สองคน จากมือที่สาม หรือแม้แต่จากตัวเองก็ได้ทั้งนั้น ใต้คำว่ารักก็มีเลิก”
“พอมองว่าเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เราจะพบว่ามนุษย์ไม่ได้มีแค่เฉดเดียวเสมอ ผมรู้สึกถึงความเป็นมนุษย์แบบนั้น”
IIIi - สกัดอารมณ์สู่ห้วงแห่งสุ้มเสียง
หลายครั้งที่แม้แต่ตัวเราเองก็ยังอธิบายความรู้สึก ณ ขณะนั้นออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ด้วยซ้ำ การส่งผ่านความรู้สึกแบบนามธรรมออกมาเป็นบทเพลงสำหรับแม็กจึงต้องเริ่มต้นที่ ‘ความเชื่อ’
“ในความเข้าใจของผมแล้ว เสียงคือคลื่น เป็นวิทยาศาสตร์รูปแบบหนึ่ง เพลงก็คือเสียง คำพูดคือเสียงอีกรูปแบบหนึ่ง มันคือบทสนทนา ดังนั้นถ้าอยากสื่อสารอะไรสักอย่างนึงให้คนเข้าใจได้ดีที่สุดและรู้สึกไปกับมันได้มากที่สุด เราต้องเริ่มจากเชื่อสิ่งนั้นให้ได้มากที่สุดก่อน เชื่อโดยไม่มีเงื่อนไข เชื่อว่านี่คือสิ่งที่เราเชื่อจริงๆ เพราะไม่ว่ามันจะมาจากประสบการณ์จริงหรือจากคำบอกเล่า แต่เราต้องเข้าใจสิ่งนั้นอย่างชัดเจนก่อน”
สิ่งที่เขาลงมือทำกับทุกเพลงและทุกอัลบั้มจึงเป็นการรีเสิร์ชทั้งอ่าน เขียน ฟัง ดู และสังเกตละเอียดไปจนถึงอวัจนภาษา สะสมไปพร้อมกับทักษะด้านดนตรี จนถ่ายทอดออกมาเป็นการสื่อสารผ่านบทเพลงที่ทะลุถึงหัวใจ
“พอมันเป็นเพลง อะไรที่เราอยากพูด มันต้องชัดเจนที่สุดในคำร้อง แล้วดนตรีก็ต้องซัพพอร์ตไปทางเดียวกัน ที่สำคัญคือ เราต้องรู้สึกถึงสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ ถ้าเราอยากให้มันบีบคั้น เราต้องทำให้มันบีบคั้น ซึ่งอาจจะเกิดจากอะไรก็ตามที่ทำให้เรารู้สึกอึดอัดรำคาญใจบางอย่างแล้วนานพอ เราต้องไม่ประนีประนอมกับสิ่งนั้น ถ้าเราอยากให้มันเบาก็ต้องเบา ถ้าอยากให้ลึกก็ต้องลึก ลึกในที่นี้อาจจะเป็นเรื่องของเสียงที่ไม่ได้ดังมากแล้วระเบิดเฉียบพลัน”
“มันเหมือนกับผมค่อยๆ ทดลองไปทีละสเต็ป แล้วค่อยประกอบร่างมัน เลยกลายเป็นว่า เราเอาความรู้สึกของมนุษย์ที่เป็นเรื่องนามธรรมมาตีความโดยสิ่งที่มันน่าจะถูกสัมผัสได้ในเชิงรูปธรรมแบบเป็นเรื่องเป็นราว”
“แต่ว่าสุดท้ายแล้ว เราไม่ได้บอกว่า เราต้องให้ทุกคนมาคิดในแบบที่เราคิด ผมกับเพื่อนๆ จะพูดเสมอว่า อย่างเช่นอัลบั้ม WORDS ที่เป็นเพลง 10 นาทีทั้งอัลบั้ม ผมไม่กล้าเดาเลยว่า ในนาทีที่ 5 ของเพลงความรู้สึกผิด คนจะรู้สึกอะไรอยู่แล้วรู้สึกเหมือนกันไหม ผมเชื่อในคำที่ว่า สมมติมีอยู่ 100 คน เข้าไปป่าเดียวกัน แต่ละคนหยิบของคนละชิ้นไม่เหมือนกันแน่ๆ ต่อให้ลอกกัน ก็ไม่มีทางหยิบใบไม้มาเหมือนกันแน่ๆ พอคิดได้แบบนี้ปุ๊บก็รู้สึกว่า เรามีรากฐานของเราก่อน ส่วนคนอื่นจะคิดยังไงก็เรื่องของเขา”
“เพลงมันหลุดจากมือเราไป มันไม่ใช่เรื่องของเราอีกแล้ว ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะรู้สึกร่วมเหมือนกัน หรืออาจจะไม่ได้คล้อยตามกับเราสักนิดเดียว นั่นเป็นเรื่องปัจเจกบุคคล”
หรือแม้แต่ศัพท์แสงที่เราไม่ค่อยได้เห็นนักในวงการเพลง อย่างความตาย การลาจาก การพลัดพราก ทางวงกลับมีกลวิธีการนำเอาถ้อยคำทางความรู้สึกมาสวมเข้ากับสุนทรียะทางดนตรีได้อย่างกลมกล่อมและเข้าอกเข้าใจ
“จริงๆ แล้วผมกลับรู้สึกว่า เนื้อเพลงเหล่านี้มีมานานมากแล้ว เอาแค่คำว่าการลาจาก เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราต้องมีโอกาสได้เจอกับใครสักคน และเมื่อมีพบก็ต้องมีจากตามหลักพุทธศาสนา มันเป็นสัจธรรมอยู่แล้ว ในขณะเดียวกัน ความตายก็คือการจากลาอีกรูปแบบหนึ่ง จากลามีทั้งจากเป็นจากตาย เราต่างหนีไม่พ้นความจริงที่ยั่งยืนบางประการที่มันโหดร้ายประมาณหนึ่ง บางคนอาจจะเข้าใจว่ามันคือสัจธรรมแล้วก็ไม่ได้กลัวเพราะเตรียมตัวมาแล้ว แต่ก็มีคนอยู่ไม่น้อยที่รู้สึกว่าไม่ได้อยากรับรู้เรื่องนี้ แล้วก็จะไปในทางเพลงปลอบประโลมใจ ซึ่งมันไม่ได้ผิด มันอยู่ที่แต่ละตัวบุคคลจะชอบ”
“แต่คราวนี้พอมองว่าทำไมถึงเป็นวงนี้ที่เขียนเพลงแบบนี้ ผมอาจจะมีบางช่วงชีวิตที่ได้รับรู้พบเจอเกี่ยวข้องกับกับการจากไปไม่ว่าจะเป็นญาติ เพื่อน การสิ้นสุดความสัมพันธ์ระหว่างมิตรภาพของใครสักคน หรือแม้แต่ผมเองที่รู้สึกว่าเป็นคนเก่งเหลือเกินในเรื่องการจากลากับอะไรก็ตาม”
“ผมอาจจะแค่รู้สึกว่าพอมีเนื้อหาเหล่านี้ในเพลงที่ตัวเองเขียนค่อนข้างบ่อย ต่อให้มันไม่ได้จำเพาะว่าเป็นการจากลาระหว่างใคร หรือแม้แต่ความตาย เราต่างต้องสิ้นสุดในอะไรสักอย่างเข้าสักวัน ผมรู้สึกอย่างนั้นเสมอ แม้กระทั่งการพบกันก็ไม่ใช่เรื่องแน่นอน แต่เวลาที่หมดน่ะ มีแน่นอน ดังนั้นถ้าจะมองก็ในแง่ของการเขียนเพื่อบอกตัวเองว่า เรามีวันหมดเวลา เป็นเรื่องที่เราอยากเล่า อย่างน้อยก็เล่าให้ตัวเองฟัง”
หลับตา อีกเพลงที่บรรยายการจากลาในรูปแบบของการออกเดินทางไกลของเพื่อนคนหนึ่ง ของคนรัก แม็กบอกว่านั่นก็เป็นสับเซตหนึ่งของการจากลา “คือการเฝ้ารอที่จะกลับไปเจออีกครั้งหนึ่ง” หรือแม้กระทั่งเพลงความเยาว์ที่บอกว่า ใครคนนั้นในช่วงเวลานั้นจากไปแห่งไหนก็ไม่รู้โดยที่เราอาจจะไม่ได้เจอเขาอีก “มันเป็น Sad But True นะ พอมันหนีจากความจริงข้อนี้ไม่ได้ เราก็ไม่ได้คิดว่าต้องไปอัดหนักในเรื่องการปลอบประโลม เราแค่จะเล่ามันอย่างไรมากกว่า”
IIIi - บอกเล่าเรื่องราวและความคิดในวงที่กว้างกว่า
กลับมามองความจริงในโลกธุรกิจ เป็นเรื่องไม่ง่ายที่บทกวีซาบซึ้งกินใจ หรือบทเพลงที่เล่นกับความรู้สึกเช่นนี้กับวงการธุรกิจดนตรีจะเดินไปร่วมกันได้ แต่การเดินทางของ Gene Lab และ The Darkest Romance บอกกับเราว่า เรื่องนี้เป็นไปได้ และเราทุกคนกำลังพิสูจน์ผ่านทางการดื่มด่ำบทเพลงของพวกเขา
“อย่างแรกผมต้องขอบคุณค่ายก่อน เพราะจริงๆ แล้วตัววงของเราถูกตั้งขึ้นมาบนพื้นฐานความเชื่อที่ว่า เราไม่น่าอยู่ค่ายไหนได้เลย ด้วยความเชื่อที่ตัวเองคิด ด้วยสไตล์เพลงที่ทำ จนวันนึงได้มีโอกาสมาคุยกับทาง Gene Lab ถ้าถามว่าผมมีวิธีอะไรในการคุย คำตอบผมทื่อๆ เลยว่า ผมไม่มีวิธี ผมแค่มาบอกว่านี่คือสิ่งที่ผมจะทำ และต่อให้ไม่มีสังกัดผมก็จะทำอยู่ดี”
The Darkest Romance เป็นเหมือนกับหนังสือชุดเล่มใหญ่ที่แม็กและเพื่อนๆ วางแผนเอาไว้ทั้งหมดแล้วตั้งแต่จุดเริ่มต้น คอนเซปต์ แนวทางการทำเพลง จนมอบส่งไปถึงมือของต้นสังกัดในกระบวนการทำงานต่อไป “เพราะว่าไม่ใช่ทุกครั้งที่เราจะได้มีโอกาสเจอใครสักคนที่จะจ่ายกับเราในมุมมองของศิลปะ”
“แม้แต่ในวงคุยกันเองก็รู้สึกว่า เราทำเพลงพวกนี้มาเพื่อบำบัดตัวเองนี่หว่า แล้วในวันนึงเราไปเจอกับอะไรมาบ้าง เราทุกคนมีงานประจำกันหมด การเล่นดนตรีมันจึงเป็นเพลงในแบบที่พวกเราชอบ ดนตรีแบบที่พวกเราทุกคนรู้สึก ผมได้พูดในเรื่องที่อยากพูด มันวินวินกับพวกเราทั้งหมด สุดท้ายแล้วทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับวงตอนนี้ แม้แต่วงก็คาดไม่ถึงว่ามีคนรู้จักคนเยอะ หรือได้ฟังเพลงความเยาว์ใน The Voice ทั้งหมดนี่เป็นโบนัสของพวกเรา
“มันกลายเป็นว่าความบ้าบิ่นที่จะทดลองก้าวข้ามตัวเองในวันนั้น กับการทำอัลบั้มที่ 5 เพลง 10 นาที กลายเป็นสิ่งที่ทำให้คนพูดถึงเรา ซึ่งแม้กระทั่งเราเองก็ไม่ได้คาดคิดถึงผลในลักษณะนี้เหมือนกัน”
แม็กสรุปจากคำพูดทั้งหมดว่า มันคือความดีใจที่ทุกคนได้มองเห็นตั้งแต่ต้นสังกัดจนถึงคนฟังเพลง
“เพราะผมมีแค่ความเชื่อที่ว่าผมจะทำสิ่งนี้มาตั้งแต่ต้น และผมไม่เปลี่ยน แล้วถ้าเขาเลือกที่จะกระโจนมาด้วยกัน แล้วจะเชื่อไปด้วยกัน ผมรู้สึกว่าเราโชคดี”
IIIi - ความเชื่อที่ยังคงแข็งแรง และพาออกก้าวเดินอย่างมั่นคง
เมื่อความสำเร็จถาโถมเข้ามามากมายแล้ว เรื่องพวกนี้มันกลับมากวนใจเราบ้างไหม?
“ก่อนหน้านี้ผมออกอัลบั้มชื่อ Lessons อัลบั้มที่ 3 ซึ่งมีเซ็ตของมันชื่อ Notebook (EP) พอมันจบเรื่องนี้แล้วก็จบไป แล้วบังเอิญมีคนรู้สึกดีกับอัลบั้มนี้เยอะมากจนรู้สึกว่า เราเคยทำสิ่งนี้หรือใกล้เคียงกับสิ่งนี้มา 3 อัลบั้มแล้ว ผมเลยมองว่ามันคงเหมือนกับหนังสือเล่มหนึ่ง ถ้าเรายังจมอยู่กับเรื่องนั้นอยู่แปลว่าเราเองที่ไม่จบ เราจะต้องเล่าภาคต่อไป ต้องพัฒนาต่อ”
“ผมไม่กลัวเรื่องเพลงไม่ดี ผมกลัวแค่ว่าผมจะกลายเป็นคนที่ทำได้แบบเดียว เลยรู้สึกว่าถ้างั้นผมต้องก้าวข้ามตัวเองให้ได้สักวิธี ถ้ามันจะไม่ดีกว่าเดิม อย่างน้อยผมก็ขอไม่ย่ำในสิ่งที่ตัวเองเคยทำไว้ ผมจะไม่ทำแบบนั้นเด็ดขาด”
อีกสิ่งหนึ่งที่แม็กจะต้องพัฒนาต่อไปนอกเหนือจากการทำเพลงบนความเชื่อแล้ว ยังเป็นเรื่องสุขภาพเสียง ที่แม็กบอกกับเราว่า สิ่งสำคัญสองอย่างคือ ‘ต้องรู้ลิมิตตัวเอง และต้องไม่โกหกตัวเองเวลาไม่ไหว’
“ถ้าเกิดเรามีเสียงในหัวที่บังเอิญจินตนาการพริ้งเพริศออกมาแต่ว่าเราไม่สามารถทำได้ ทางเลือกเรามีแค่สองอย่างคือไม่ปรับก็ต้องทิ้งมัน ผมไม่ได้บอกว่าต้องทะลุขีดจำกัดหรือฝืนต่อสู้ ซึ่งบางคนสามารถทำได้แล้วขีดจำกัดขยายได้ ผมเชื่อเสมอว่าเราพัฒนาตัวเองได้ แค่มันต้องใช้เวลา แต่ในขณะเดียวกันที่เรารู้ว่าเรามีลิมิตแค่นี้ เราสามารถสนุกกับลิมิตได้ขนาดไหนในแบบที่เรายังสามารถอยู่กับมันได้นานขึ้น”
แม็กยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดผ่านการใช้ Ear Monitor ที่ช่วยให้เขาสำรวจตัวเองได้ลึกขึ้น มองเห็นภาพของปัญหาได้ชัดเจน และการร้องก็พัฒนาขึ้นผ่านการมองเห็นต้นตอของปัญหาที่ชัดเจน
“เหตุผลที่ก่อนหน้าผมไม่ใส่ง่ายมากเลย ไม่มีเงิน คนที่ต้องใช้จริงๆ คือมือกลองแล้วผมก็ซิงค์ตามเขาไปก็ยังทำได้ แต่กลายเป็นว่าสิ่งที่มากระทบตัวเองจริงๆ คือเรื่องร้อง เริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่อินคีย์ต่อให้คนจะฟังไม่ออก พอใส่ Ear Monitor แล้วผมเหมือนหมอ ที่มองเห็นได้ว่าตอนนี้ผมหายใจได้ลึกแค่ไหน คอตรงนี้ออกเสียงแบบนี้ไม่ไหว แล้วค่อยๆ ปรับวิธีการร้องด้วยตัวเอง กลายเป็นว่า นี่แหละที่เป็นแว่นส่องกล้องที่ผมหามานาน”
“มันเลยกลายเป็นว่าปฏิเสธไม่ได้แล้วแหละว่าอุปกรณ์มันช่วย แต่ใจความหลักใหญ่ของผมคือ ผมได้ยินสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่หรือเปล่า แค่นั้นเอง ถ้าได้ยินจะรู้ว่าตัวเองถูกข้อจำกัดตรงไหนบีบอยู่ ถ้าได้ยินจะรู้ว่าตัวเองผิดพลาดตรงไหน แล้วค่อยไปแก้ไขทีละข้อ”
ตลอดทั้งเรื่องที่เล่ามาดูเหมือนจะเป็นคนละเรื่องกันหมดตั้งแต่ความรู้สึกนึกคิด ไปจนถึงสุขภาพและอุปกรณ์ แต่ถ้ามองให้ดีจริงๆ แล้ว ทั้งหมดกำลังบอกเล่าเรื่องราวของแม็กในทิศทางเดียวกันในเรื่องของ การได้กลับมามองเห็นตัวเอง ในระยะทาง 10 ปีของวง ระยะเวลา 10 นาทีของเพลง หรือในวินาทีที่จมจ่อมอยูกับบางห้วงเวลาระหว่างเพลง
“ไม่ใช่ทุกคนที่ฟังเพลงยาวได้ และไม่ใช่ทุกคนที่เพลงสั้นจะจบเรื่องราวทุกอย่างหมด เรารู้สึกว่ามันคงสนุกดีถ้าสุดท้ายแล้ว เราจะมองว่าแต่ละเพลงมันยาว 10 นาทีได้ แต่เราจะมองว่ามันเป็นหนึ่งเพลงยาวๆ ที่ยาว 50 นาทีก็ได้ จริงๆ ทั้งหมดมันมาจากคำถามที่ว่า เราอยากรู้ว่าแต่ละคนจะคิดยังไง รู้สึกยังไงกับนาทีนี้ๆ ในบทเพลง”
“แล้วเราก็ไม่ได้ต้องการคำตอบ เพียงแค่ให้คุณได้กลับมาเห็นตัวคุณเองบ้าง”
“เพราะผมรู้สึกว่า ความเป็นมนุษย์เป็นสิ่งที่จริงที่สุดและประดิษฐ์ที่สุดในเวลาเดียวกัน”
ความเยาว์ การลาจาก ความตาย และอีกหลากหลายความรู้สึกแทนความเป็นมนุษย์ที่กลายมาเป็นชื่อเพลงหรือความหมายแฝงเร้นในสุ้มเสียงของ The Darkest Romance เป็นบทสนทนาที่พาเรามาทำความรู้จักกับ แม็ก - ธิติวัฒน์ รองทอง และเพลงของเขากับเพื่อนให้ลึกซึ้งขึ้นอีก
“ผมรู้สึกว่าในขณะที่ใครสักคนกำลังพยายามสร้างอะไรบางอย่างอยู่ เขาอาจจะต้องการให้คนเห็นหน้าฉากนั้น แต่ความจริงเขาอาจจะเป็นอีกแบบหนึ่ง หรือแม้กระทั่งคนบางคนอาจจะเลือกไม่ประดิษฐ์เลย เพราะตัวจริงกับสิ่งที่เขาเชื่อหรือสิ่งที่เขาอยากให้คนอื่นเห็นเป็นแบบเดียวกัน” แม็กขยายความจากประโยคข้างต้น
“ด้วยความซับซ้อนของจิตและความคิดมนุษย์ ผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะว่าจริงอยู่ว่าเพลงในตลาดมักจะพูดถึงเรื่องความรักความสัมพันธ์ หรือแม้กระทั่งเพลงรักเพลงอกหัก แต่จริงๆ แล้วคำว่าเลิกกันในความเป็นมนุษย์ก็มีหลายมิติ การเลิกกันมันอาจจะเกิดจากคนแค่สองคน จากมือที่สาม หรือแม้แต่จากตัวเองก็ได้ทั้งนั้น ใต้คำว่ารักก็มีเลิก”
“พอมองว่าเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เราจะพบว่ามนุษย์ไม่ได้มีแค่เฉดเดียวเสมอ ผมรู้สึกถึงความเป็นมนุษย์แบบนั้น”
IIIi - สกัดอารมณ์สู่ห้วงแห่งสุ้มเสียง
หลายครั้งที่แม้แต่ตัวเราเองก็ยังอธิบายความรู้สึก ณ ขณะนั้นออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ด้วยซ้ำ การส่งผ่านความรู้สึกแบบนามธรรมออกมาเป็นบทเพลงสำหรับแม็กจึงต้องเริ่มต้นที่ ‘ความเชื่อ’
“ในความเข้าใจของผมแล้ว เสียงคือคลื่น เป็นวิทยาศาสตร์รูปแบบหนึ่ง เพลงก็คือเสียง คำพูดคือเสียงอีกรูปแบบหนึ่ง มันคือบทสนทนา ดังนั้นถ้าอยากสื่อสารอะไรสักอย่างนึงให้คนเข้าใจได้ดีที่สุดและรู้สึกไปกับมันได้มากที่สุด เราต้องเริ่มจากเชื่อสิ่งนั้นให้ได้มากที่สุดก่อน เชื่อโดยไม่มีเงื่อนไข เชื่อว่านี่คือสิ่งที่เราเชื่อจริงๆ เพราะไม่ว่ามันจะมาจากประสบการณ์จริงหรือจากคำบอกเล่า แต่เราต้องเข้าใจสิ่งนั้นอย่างชัดเจนก่อน”
สิ่งที่เขาลงมือทำกับทุกเพลงและทุกอัลบั้มจึงเป็นการรีเสิร์ชทั้งอ่าน เขียน ฟัง ดู และสังเกตละเอียดไปจนถึงอวัจนภาษา สะสมไปพร้อมกับทักษะด้านดนตรี จนถ่ายทอดออกมาเป็นการสื่อสารผ่านบทเพลงที่ทะลุถึงหัวใจ
“พอมันเป็นเพลง อะไรที่เราอยากพูด มันต้องชัดเจนที่สุดในคำร้อง แล้วดนตรีก็ต้องซัพพอร์ตไปทางเดียวกัน ที่สำคัญคือ เราต้องรู้สึกถึงสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ ถ้าเราอยากให้มันบีบคั้น เราต้องทำให้มันบีบคั้น ซึ่งอาจจะเกิดจากอะไรก็ตามที่ทำให้เรารู้สึกอึดอัดรำคาญใจบางอย่างแล้วนานพอ เราต้องไม่ประนีประนอมกับสิ่งนั้น ถ้าเราอยากให้มันเบาก็ต้องเบา ถ้าอยากให้ลึกก็ต้องลึก ลึกในที่นี้อาจจะเป็นเรื่องของเสียงที่ไม่ได้ดังมากแล้วระเบิดเฉียบพลัน”
“มันเหมือนกับผมค่อยๆ ทดลองไปทีละสเต็ป แล้วค่อยประกอบร่างมัน เลยกลายเป็นว่า เราเอาความรู้สึกของมนุษย์ที่เป็นเรื่องนามธรรมมาตีความโดยสิ่งที่มันน่าจะถูกสัมผัสได้ในเชิงรูปธรรมแบบเป็นเรื่องเป็นราว”
“แต่ว่าสุดท้ายแล้ว เราไม่ได้บอกว่า เราต้องให้ทุกคนมาคิดในแบบที่เราคิด ผมกับเพื่อนๆ จะพูดเสมอว่า อย่างเช่นอัลบั้ม WORDS ที่เป็นเพลง 10 นาทีทั้งอัลบั้ม ผมไม่กล้าเดาเลยว่า ในนาทีที่ 5 ของเพลงความรู้สึกผิด คนจะรู้สึกอะไรอยู่แล้วรู้สึกเหมือนกันไหม ผมเชื่อในคำที่ว่า สมมติมีอยู่ 100 คน เข้าไปป่าเดียวกัน แต่ละคนหยิบของคนละชิ้นไม่เหมือนกันแน่ๆ ต่อให้ลอกกัน ก็ไม่มีทางหยิบใบไม้มาเหมือนกันแน่ๆ พอคิดได้แบบนี้ปุ๊บก็รู้สึกว่า เรามีรากฐานของเราก่อน ส่วนคนอื่นจะคิดยังไงก็เรื่องของเขา”
“เพลงมันหลุดจากมือเราไป มันไม่ใช่เรื่องของเราอีกแล้ว ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะรู้สึกร่วมเหมือนกัน หรืออาจจะไม่ได้คล้อยตามกับเราสักนิดเดียว นั่นเป็นเรื่องปัจเจกบุคคล”
หรือแม้แต่ศัพท์แสงที่เราไม่ค่อยได้เห็นนักในวงการเพลง อย่างความตาย การลาจาก การพลัดพราก ทางวงกลับมีกลวิธีการนำเอาถ้อยคำทางความรู้สึกมาสวมเข้ากับสุนทรียะทางดนตรีได้อย่างกลมกล่อมและเข้าอกเข้าใจ
“จริงๆ แล้วผมกลับรู้สึกว่า เนื้อเพลงเหล่านี้มีมานานมากแล้ว เอาแค่คำว่าการลาจาก เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราต้องมีโอกาสได้เจอกับใครสักคน และเมื่อมีพบก็ต้องมีจากตามหลักพุทธศาสนา มันเป็นสัจธรรมอยู่แล้ว ในขณะเดียวกัน ความตายก็คือการจากลาอีกรูปแบบหนึ่ง จากลามีทั้งจากเป็นจากตาย เราต่างหนีไม่พ้นความจริงที่ยั่งยืนบางประการที่มันโหดร้ายประมาณหนึ่ง บางคนอาจจะเข้าใจว่ามันคือสัจธรรมแล้วก็ไม่ได้กลัวเพราะเตรียมตัวมาแล้ว แต่ก็มีคนอยู่ไม่น้อยที่รู้สึกว่าไม่ได้อยากรับรู้เรื่องนี้ แล้วก็จะไปในทางเพลงปลอบประโลมใจ ซึ่งมันไม่ได้ผิด มันอยู่ที่แต่ละตัวบุคคลจะชอบ”
“แต่คราวนี้พอมองว่าทำไมถึงเป็นวงนี้ที่เขียนเพลงแบบนี้ ผมอาจจะมีบางช่วงชีวิตที่ได้รับรู้พบเจอเกี่ยวข้องกับกับการจากไปไม่ว่าจะเป็นญาติ เพื่อน การสิ้นสุดความสัมพันธ์ระหว่างมิตรภาพของใครสักคน หรือแม้แต่ผมเองที่รู้สึกว่าเป็นคนเก่งเหลือเกินในเรื่องการจากลากับอะไรก็ตาม”
“ผมอาจจะแค่รู้สึกว่าพอมีเนื้อหาเหล่านี้ในเพลงที่ตัวเองเขียนค่อนข้างบ่อย ต่อให้มันไม่ได้จำเพาะว่าเป็นการจากลาระหว่างใคร หรือแม้แต่ความตาย เราต่างต้องสิ้นสุดในอะไรสักอย่างเข้าสักวัน ผมรู้สึกอย่างนั้นเสมอ แม้กระทั่งการพบกันก็ไม่ใช่เรื่องแน่นอน แต่เวลาที่หมดน่ะ มีแน่นอน ดังนั้นถ้าจะมองก็ในแง่ของการเขียนเพื่อบอกตัวเองว่า เรามีวันหมดเวลา เป็นเรื่องที่เราอยากเล่า อย่างน้อยก็เล่าให้ตัวเองฟัง”
หลับตา อีกเพลงที่บรรยายการจากลาในรูปแบบของการออกเดินทางไกลของเพื่อนคนหนึ่ง ของคนรัก แม็กบอกว่านั่นก็เป็นสับเซตหนึ่งของการจากลา “คือการเฝ้ารอที่จะกลับไปเจออีกครั้งหนึ่ง” หรือแม้กระทั่งเพลงความเยาว์ที่บอกว่า ใครคนนั้นในช่วงเวลานั้นจากไปแห่งไหนก็ไม่รู้โดยที่เราอาจจะไม่ได้เจอเขาอีก “มันเป็น Sad But True นะ พอมันหนีจากความจริงข้อนี้ไม่ได้ เราก็ไม่ได้คิดว่าต้องไปอัดหนักในเรื่องการปลอบประโลม เราแค่จะเล่ามันอย่างไรมากกว่า”
IIIi - บอกเล่าเรื่องราวและความคิดในวงที่กว้างกว่า
กลับมามองความจริงในโลกธุรกิจ เป็นเรื่องไม่ง่ายที่บทกวีซาบซึ้งกินใจ หรือบทเพลงที่เล่นกับความรู้สึกเช่นนี้กับวงการธุรกิจดนตรีจะเดินไปร่วมกันได้ แต่การเดินทางของ Gene Lab และ The Darkest Romance บอกกับเราว่า เรื่องนี้เป็นไปได้ และเราทุกคนกำลังพิสูจน์ผ่านทางการดื่มด่ำบทเพลงของพวกเขา
“อย่างแรกผมต้องขอบคุณค่ายก่อน เพราะจริงๆ แล้วตัววงของเราถูกตั้งขึ้นมาบนพื้นฐานความเชื่อที่ว่า เราไม่น่าอยู่ค่ายไหนได้เลย ด้วยความเชื่อที่ตัวเองคิด ด้วยสไตล์เพลงที่ทำ จนวันนึงได้มีโอกาสมาคุยกับทาง Gene Lab ถ้าถามว่าผมมีวิธีอะไรในการคุย คำตอบผมทื่อๆ เลยว่า ผมไม่มีวิธี ผมแค่มาบอกว่านี่คือสิ่งที่ผมจะทำ และต่อให้ไม่มีสังกัดผมก็จะทำอยู่ดี”
The Darkest Romance เป็นเหมือนกับหนังสือชุดเล่มใหญ่ที่แม็กและเพื่อนๆ วางแผนเอาไว้ทั้งหมดแล้วตั้งแต่จุดเริ่มต้น คอนเซปต์ แนวทางการทำเพลง จนมอบส่งไปถึงมือของต้นสังกัดในกระบวนการทำงานต่อไป “เพราะว่าไม่ใช่ทุกครั้งที่เราจะได้มีโอกาสเจอใครสักคนที่จะจ่ายกับเราในมุมมองของศิลปะ”
“แม้แต่ในวงคุยกันเองก็รู้สึกว่า เราทำเพลงพวกนี้มาเพื่อบำบัดตัวเองนี่หว่า แล้วในวันนึงเราไปเจอกับอะไรมาบ้าง เราทุกคนมีงานประจำกันหมด การเล่นดนตรีมันจึงเป็นเพลงในแบบที่พวกเราชอบ ดนตรีแบบที่พวกเราทุกคนรู้สึก ผมได้พูดในเรื่องที่อยากพูด มันวินวินกับพวกเราทั้งหมด สุดท้ายแล้วทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับวงตอนนี้ แม้แต่วงก็คาดไม่ถึงว่ามีคนรู้จักคนเยอะ หรือได้ฟังเพลงความเยาว์ใน The Voice ทั้งหมดนี่เป็นโบนัสของพวกเรา
“มันกลายเป็นว่าความบ้าบิ่นที่จะทดลองก้าวข้ามตัวเองในวันนั้น กับการทำอัลบั้มที่ 5 เพลง 10 นาที กลายเป็นสิ่งที่ทำให้คนพูดถึงเรา ซึ่งแม้กระทั่งเราเองก็ไม่ได้คาดคิดถึงผลในลักษณะนี้เหมือนกัน”
แม็กสรุปจากคำพูดทั้งหมดว่า มันคือความดีใจที่ทุกคนได้มองเห็นตั้งแต่ต้นสังกัดจนถึงคนฟังเพลง
“เพราะผมมีแค่ความเชื่อที่ว่าผมจะทำสิ่งนี้มาตั้งแต่ต้น และผมไม่เปลี่ยน แล้วถ้าเขาเลือกที่จะกระโจนมาด้วยกัน แล้วจะเชื่อไปด้วยกัน ผมรู้สึกว่าเราโชคดี”
IIIi - ความเชื่อที่ยังคงแข็งแรง และพาออกก้าวเดินอย่างมั่นคง
เมื่อความสำเร็จถาโถมเข้ามามากมายแล้ว เรื่องพวกนี้มันกลับมากวนใจเราบ้างไหม?
“ก่อนหน้านี้ผมออกอัลบั้มชื่อ Lessons อัลบั้มที่ 3 ซึ่งมีเซ็ตของมันชื่อ Notebook (EP) พอมันจบเรื่องนี้แล้วก็จบไป แล้วบังเอิญมีคนรู้สึกดีกับอัลบั้มนี้เยอะมากจนรู้สึกว่า เราเคยทำสิ่งนี้หรือใกล้เคียงกับสิ่งนี้มา 3 อัลบั้มแล้ว ผมเลยมองว่ามันคงเหมือนกับหนังสือเล่มหนึ่ง ถ้าเรายังจมอยู่กับเรื่องนั้นอยู่แปลว่าเราเองที่ไม่จบ เราจะต้องเล่าภาคต่อไป ต้องพัฒนาต่อ”
“ผมไม่กลัวเรื่องเพลงไม่ดี ผมกลัวแค่ว่าผมจะกลายเป็นคนที่ทำได้แบบเดียว เลยรู้สึกว่าถ้างั้นผมต้องก้าวข้ามตัวเองให้ได้สักวิธี ถ้ามันจะไม่ดีกว่าเดิม อย่างน้อยผมก็ขอไม่ย่ำในสิ่งที่ตัวเองเคยทำไว้ ผมจะไม่ทำแบบนั้นเด็ดขาด”
อีกสิ่งหนึ่งที่แม็กจะต้องพัฒนาต่อไปนอกเหนือจากการทำเพลงบนความเชื่อแล้ว ยังเป็นเรื่องสุขภาพเสียง ที่แม็กบอกกับเราว่า สิ่งสำคัญสองอย่างคือ ‘ต้องรู้ลิมิตตัวเอง และต้องไม่โกหกตัวเองเวลาไม่ไหว’
“ถ้าเกิดเรามีเสียงในหัวที่บังเอิญจินตนาการพริ้งเพริศออกมาแต่ว่าเราไม่สามารถทำได้ ทางเลือกเรามีแค่สองอย่างคือไม่ปรับก็ต้องทิ้งมัน ผมไม่ได้บอกว่าต้องทะลุขีดจำกัดหรือฝืนต่อสู้ ซึ่งบางคนสามารถทำได้แล้วขีดจำกัดขยายได้ ผมเชื่อเสมอว่าเราพัฒนาตัวเองได้ แค่มันต้องใช้เวลา แต่ในขณะเดียวกันที่เรารู้ว่าเรามีลิมิตแค่นี้ เราสามารถสนุกกับลิมิตได้ขนาดไหนในแบบที่เรายังสามารถอยู่กับมันได้นานขึ้น”
แม็กยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดผ่านการใช้ Ear Monitor ที่ช่วยให้เขาสำรวจตัวเองได้ลึกขึ้น มองเห็นภาพของปัญหาได้ชัดเจน และการร้องก็พัฒนาขึ้นผ่านการมองเห็นต้นตอของปัญหาที่ชัดเจน
“เหตุผลที่ก่อนหน้าผมไม่ใส่ง่ายมากเลย ไม่มีเงิน คนที่ต้องใช้จริงๆ คือมือกลองแล้วผมก็ซิงค์ตามเขาไปก็ยังทำได้ แต่กลายเป็นว่าสิ่งที่มากระทบตัวเองจริงๆ คือเรื่องร้อง เริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่อินคีย์ต่อให้คนจะฟังไม่ออก พอใส่ Ear Monitor แล้วผมเหมือนหมอ ที่มองเห็นได้ว่าตอนนี้ผมหายใจได้ลึกแค่ไหน คอตรงนี้ออกเสียงแบบนี้ไม่ไหว แล้วค่อยๆ ปรับวิธีการร้องด้วยตัวเอง กลายเป็นว่า นี่แหละที่เป็นแว่นส่องกล้องที่ผมหามานาน”
“มันเลยกลายเป็นว่าปฏิเสธไม่ได้แล้วแหละว่าอุปกรณ์มันช่วย แต่ใจความหลักใหญ่ของผมคือ ผมได้ยินสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่หรือเปล่า แค่นั้นเอง ถ้าได้ยินจะรู้ว่าตัวเองถูกข้อจำกัดตรงไหนบีบอยู่ ถ้าได้ยินจะรู้ว่าตัวเองผิดพลาดตรงไหน แล้วค่อยไปแก้ไขทีละข้อ”
ตลอดทั้งเรื่องที่เล่ามาดูเหมือนจะเป็นคนละเรื่องกันหมดตั้งแต่ความรู้สึกนึกคิด ไปจนถึงสุขภาพและอุปกรณ์ แต่ถ้ามองให้ดีจริงๆ แล้ว ทั้งหมดกำลังบอกเล่าเรื่องราวของแม็กในทิศทางเดียวกันในเรื่องของ การได้กลับมามองเห็นตัวเอง ในระยะทาง 10 ปีของวง ระยะเวลา 10 นาทีของเพลง หรือในวินาทีที่จมจ่อมอยูกับบางห้วงเวลาระหว่างเพลง
“ไม่ใช่ทุกคนที่ฟังเพลงยาวได้ และไม่ใช่ทุกคนที่เพลงสั้นจะจบเรื่องราวทุกอย่างหมด เรารู้สึกว่ามันคงสนุกดีถ้าสุดท้ายแล้ว เราจะมองว่าแต่ละเพลงมันยาว 10 นาทีได้ แต่เราจะมองว่ามันเป็นหนึ่งเพลงยาวๆ ที่ยาว 50 นาทีก็ได้ จริงๆ ทั้งหมดมันมาจากคำถามที่ว่า เราอยากรู้ว่าแต่ละคนจะคิดยังไง รู้สึกยังไงกับนาทีนี้ๆ ในบทเพลง”
“แล้วเราก็ไม่ได้ต้องการคำตอบ เพียงแค่ให้คุณได้กลับมาเห็นตัวคุณเองบ้าง”