Voice of MARIAM GREY เสียงนี้ของมาเรียม เกรย์

Voice of MARIAM GREY เสียงนี้ของมาเรียม เกรย์

7 ส.ค. 2566

SHARE WITH:

7 ส.ค. 2566

7 ส.ค. 2566

SHARE WITH:

SHARE WITH:

Voice of MARIAM GREY เสียงนี้ของมาเรียม เกรย์

You've shown me I have reasons. I should love myself.

“จุดประสงค์นึงของการเป็นนักร้องของมาเรียม มากกว่าการเป็นตัวตนหรือใดๆ ก็คือ การที่มีคนคนนึงฟังแล้วบอกว่า หนูฟังเสียงพี่แล้ว หนูมีความสุขจัง หรือฉันฟังเสียงคุณแล้วมีกำลังใจ อยากเป็นอะไรก็ได้ที่ทำให้คนรู้สึกดี"

"มาเรียมชอบฟังเพลงวง BTS เขาจะสอนให้คนรักตัวเอง แล้วสิ่งนึงที่เขาทำคือ เขาอยากให้คนฟังเพลงรู้สึกดีขึ้น อยากให้ฟังแล้วมีกำลังใจ”

ภาพจำของ มาเรียม เกรย์​ ในสายตาผู้คนคือนักร้องสาวเสียงทรงพลัง ชนิดที่ไม่ว่าจะหยิบจับขับร้องเพลงไหน ก็กลายเป็นเพลงที่ตราตรึงประทับในใจผู้ฟังเสมอ นั่นทำให้เราอยากค้นลึกลงไปใน ‘เสียง’ สารตั้งต้นที่ก่อร่างสร้างความพิเศษจนกลายมาเป็นมาเรียมอย่างที่เรารู้จัก

แต่กว่าจะมาเป็นมาเรียมในทุกวันนี้ ตลอดชีวิตของเธอคือการเดินทางไปกับเสียง เส้นทางอาจจะคดเคี้ยว ขรุขระ หรือหลงทางไปบ้าง แต่ทุกอย่างหล่อหลอมให้เป็นเธอในวันนี้ด้วยความรักในเสียงดนตรี และความรักในตัวเอง

 

IIIi - VOICE OF MARIAM

เด็กผู้หญิงจากวงประสานเสียงประจำโรงเรียนในเมืองไทยที่ได้รับเลือกให้ร้องท่อนเดี่ยว หอบความฝันเต็มเปี่ยมของการเป็นนักร้องออกไปสู่โรงเรียนมัธยมปลายด้านดนตรีที่ออสเตรเลีย ที่ที่เธอได้เห็นโลกที่กว้างกว่าและความจริงที่ต้องยอมรับให้ได้

“มันเป็นโรงเรียนที่ต้องออดิชันเข้าไป มาเรียมก็ออดิชันผ่าน เข้าไปอย่างมั่นใจ แต่พอไปถึงที่นั่นแล้ว มันทำให้เรารู้ว่า เราคือ ปลาใหญ่ในบึงเล็ก โห เขาแค่อ้าปาก มันก็ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติแล้ว ทุกคนนะไม่ใช่แค่คนสองคน ทุกคนในห้องเรียนเราร้องเพลงได้ บางคนไม่ได้เอกร้องเพลงด้วยซ้ำ ยังร้องเพลงได้ดีกว่าเรา เราก็เลยรู้สึกว่า ไม่ได้แล้ว เราต้องขยันมากขึ้น”

แรงผลักดันจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวทำให้เธอใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกซ้อมจนเกิดผลลัพธ์เป็นความมั่นใจ นั่นทำให้เธอได้กลับมาทบทวนกับตัวเองว่า “แค่ตอนแรกที่เรามาถึงแล้วทุกคนเก่งกว่าเรา มันคือเพราะว่าเรายังไม่ได้เริ่มเลย เขาเรียนกันไปก่อนแล้ว แต่เราพึ่งมาถึง เมื่อความมั่นใจเราถูกทำลายไป มันก็เลยค่อยๆ ให้ตัวเองสร้างความมั่นใจใหม่ขึ้นมาที่ถูกต้องกว่าเดิม เพราะเราขยัน และเรียนรู้เทคนิคมากขึ้น”


แม้จะมีน้ำเสียงที่เป็นเหมือนพรสวรรค์มาจากฟ้า แต่พรแสวงย่อมต้องมาเพื่อช่วยพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ และครูคือบุคคลสำคัญที่บ่มเพาะมาเรียมให้เดินทางด้วยเอกลักษณ์ของตัวเองจนมาถึงทุกวันนี้

“มาเรียมรู้ว่าพื้นฐานของการสอนมันสำคัญกับคนนึงแค่ไหน แล้วมาเรียมโชคดีที่ได้ครูที่ไม่ได้พยายามป้อนตัวเองใส่เข้ามาในมาเรียม แต่ว่าครูคนนี้เขาดึงตัวเราออกมาด้วยเทคนิคของเขา”

“สิ่งแรกที่เขาให้เราทำคือให้เราร้องเพลง Happy Birthday เป็นธรรมดาพอต้องร้องเพลง เราก็เริ่มปั้นเสียง แต่เขาบอกนั่นไม่ใช่เธอ เขาบอกว่า ถ้าเธอเซอร์ไพรส์เพื่อนเธอคนนึง แล้วจะต้อง Happy Birthday เธอจะร้องยังไง ร้องให้ฉันฟังเดี๋ยวนี้ มาเรียมก็ ร้องด้วยเสียงตะโกน เท่านั้นแหละ นั่นแหละคือเสียงจริงของเรา เสียงพูดกับเสียงร้องให้ใช้เสียงเดียวกัน”

“มาเรียมว่าเพราะจุดนี้แหละ ทำให้เสียงร้องของมาเรียมไม่ได้เหมือนคนอื่นเท่าไหร่ เวลาใครฟังเขาจะรู้ว่าอันนี้เสียงมาเรียม เพราะว่าเราใช้เสียงพูดของเรานี่แหละเป็นเสียงร้องค่ะ”

 

หลังจากวันนี้ เสียงก็เป็นผู้พามาเรียมเดินสู่เส้นทางของการเป็นนักร้องเต็มตัวอย่างที่ตั้งใจ เส้นทางดูจะสวยงามเหมือนดังฝัน ได้เรียนต่อเฉพาะทางในสายการร้องเพลงที่ตัวเองรัก ได้เข้าร่วมวงดนตรีกับกลุ่มเพื่อนสนิทในนาม B5 ได้มีคอนเสิร์ตและร่วมงานกับศิลปินระดับประเทศหลายคน 

แต่แล้วความเงียบงันก็กลับเข้ามาครอบงำแทนที่ในวันที่กลับมายังบ้านเกิดหลังจากเรียนจบ

 

IIIi - LIFE IS A JOURNEY

“พอเรียนจบ มาเรียมแอบกลับมาเมืองไทยได้ 3 เดือน กลายเป็นว่าไม่มีอะไรทำอยู่นานมาก จนกลับไปสมัครงานที่แคนเบอร์รา และได้งานที่โรงหนังที่นึง เน้นสายงานบริการลูกค้า ซึ่งมาเรียมสนุกกับงานมากนะ จนลืมเรื่องการร้องเพลงไปเลย ตอนนั้นเหมือนกับว่า สุดท้ายความฝันกับความจริงคงไม่ได้เหมือนกัน ถึงจะมีความสุขมาก แต่ข้างในมันเหมือนขาดอะไรไปอย่างหนึ่ง”

แต่แล้วก็เหมือนสวรรค์ส่งเสียงมาโปรด ดึงเธอให้กลับมาคิดทบทวนกับตัวเองอีกครั้งว่า ‘คิดถึงการร้องเพลงจัง’


“ตอนนั้นเลื่อนขั้นไปเป็นผู้จัดการแล้วนะ ตอนนั้นหน้าหนาว มาเรียมกำลังนั่งพิมพ์รีพอร์ต แล้วก็ยืดเส้นยืดสาย มองไปรอบๆ ออฟฟิศ แล้วก็ถามตัวเองว่า เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงนะ แล้วก็เริ่มคิดถึงการร้องเพลงขึ้นมา จนกระทั่งวันหนึ่งมาเรียมนอนแช่อ่างอยู่ เปิดทีวีทิ้งไว้ข้างนอก แล้วก็ได้ยินเสียง Maxwell นักร้องที่ชื่นชอบในรายการ Late Night Show by David Letterman เอ้ย! เขาหายไป 9 ปีแล้ว แล้วก็คัมแบ็กมากับเพลงใหม่ซึ่งเพราะมาก มันทำให้เราอยากกลับมาร้องเพลงอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ลืมไปแล้ว”

นั่นคือการตัดสินใจครั้งสำคัญที่ทำให้เธอเดินทางกลับมาเมืองไทย จากเดิมที่คิดว่าเพียงแค่ 6 เดือนก็พอ โอกาสพามาให้ร้องคอรัสให้กับ Groove Riders ในการทัวร์สหรัฐอเมริกา ร้องคอรัสให้ เบน-ชลาทิศ เพื่อนรัก จนได้มาเป็นเสียงหลักในเพลง ‘อยากเป็นคนนั้น’ กับวง AB Normal จากคำชักชวนของฟองเบียร์ นักแต่งเพลง การตอบรับอย่างดีนำไปสู่เพลงถัดมา ‘หัวใจไม่อยู่กับตัว’ ที่เหมือนกับกลายเป็นเพลงประจำตัวของเธอไปแล้ว


 “แต่ถามว่า ความที่เราวาดฝันไว้กับความเป็นจริงเป็นเหมือนกันไหม มันก็เป็นนะ เพียงแต่ว่าเราต้องอดทนรอ บางอย่างมันไม่ได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว บางอย่างมันไม่ได้แค่ข้ามวันแล้วก็มันก็เกิดขึ้นแล้ว เพียงแค่ว่า เราจะอดทนรอได้นานแค่ไหนเพื่อให้ความฝันเกิดขึ้น”

“มาเรียมเชื่อว่า ชีวิตคนเรามีวิธีที่จะหมุนพวงมาลัย หักเหให้เรามาอยู่ในจุดที่เหมาะสมกับเราที่สุด ทำไมตอนนั้นที่มาเรียมอยู่ที่ออสเตรเลีย ทำงานโรงหนังมันก็ดีนะ เงินก็ดี แล้วทำอะไร ทำไม สุดท้ายเราก็ต้องเลิกทำตรงนั้น แล้วมาอยู่ในจุดที่เรามีความสุขที่สุดมากกว่า”

‘เวลาและโอกาส’ คือสองสิ่งสำคัญที่เธอเชื่อมั่นว่าเป็นปัจจัยที่บันดาลให้ผลลัพธ์เกิดขึ้นได้ “มาเรียมจะชอบพูดเสมอว่า หลายๆ ครั้ง เรากลับไปขอบคุณความเสียใจ ความผิดหวัง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา เพราะว่า นั่นแหละคือสิ่งที่พาเรามาสู่จุดที่เหมาะกับเราที่สุด ถ้าเราไม่เสียใจจากตรงนั้น เราจะไม่มาอยู่จุดนี้เลย เพราะเราจะอยู่แค่ตรงนั้นตลอด”

 

IIIi - LIFELONG HAPPINESS 

“หลายคนจะชอบมองว่า มาเรียมเป็นนักร้องที่ใช้พลังเสียง มาเรียมอาจจะเคยฟัง Mariah Carey หรือ Whitney Houston แบบผ่านๆ ก็ชอบฟังนะ เพราะดี แต่นักร้องที่มาเรียมฟังจริงๆ คือ Joni Mitchell หรือ Bob Dylan ซึ่งเป็นแนวโฟล์ก”

มาเรียมไม่ตีกรอบให้กับการฟังเพลง เพราะเธอเชื่อว่านี่คือการอัปเดตตัวเองให้เท่าทันโลกอยู่เสมอ เรียนรู้ที่จะเดินทางไปพร้อมกับโลกของผู้คน ที่เธอเรียกมันว่าเป็นการปรับตัวกับดนตรี “มันทำให้ข้างในเราใหม่อยู่เสมอ”

“พวกเทรนด์ใหม่ๆ มาเรียมเอามาใช้ยังไงกับตัวเองในปัจจุบันบ้าง อย่างการหาช่องร้องเพลงใหม่ๆ ฝึกบางช่องที่เราไม่เคยใช้ การใช้เสียงลม ซึ่งมันอาจจะยากสำหรับเราในการต้องมาฝึกใหม่ แต่ว่าไม่ได้ทิ้งของเก่านะ เราแค่เหมือนกดซื้อปลักอินเพิ่มให้ตัวเองมากขึ้น รวมถึงการทำพวก Sound Design อาจจะไม่ได้เก่งมาก เราต้องเรียนรู้กับมัน แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะทำไมได้ นี่แหละคือความสนุก และก็เรากำลังปรับเอามาใช้ เราเอามาฝึกตัวเอง มาพัฒนาตัวเองให้ร่วมสมัยอยู่เรื่อยๆ”

“แล้วก็ไม่เคยรู้สึกว่า ฉันเป็นรุ่นพี่ของวงการแล้ว เรารู้สึกว่าเราเรียนรู้จากน้องๆ ได้ อย่างทุกวันนี้เราฟัง BowkyLion ฟัง Tilly Birds เราเห็นว่าน้องๆ เขาสอนอะไรเราได้บ้าง และเราต้องยอมที่จะให้ตัวเองเป็นผู้เรียนรู้จากคนรุ่นใหม่ด้วยค่ะ"

 

และแล้ว เสียงก็พามาเรียมเดินทางมาจนถึงวันนี้ วันที่ ‘นักร้อง’ ได้กลายเป็นอาชีพจริงๆ อย่างที่เธอเคยวาดฝันไว้ สิ่งที่ยากกว่าคือการรักษาอาชีพที่รักนี้เอาไว้หล่อเลี้ยงหัวใจให้ตราบนานเท่านาน เธอบอกกับเราว่า ‘การดูแลตัวเอง’ คือสิ่งสำคัญที่สุด

“การที่เราจะอยู่ต่อไปได้นานๆ ความยั่งยืนอย่างหนึ่งที่เราจะต้องออกกำลังกายกับเสียงเรา วอร์มอัป ค้นหาทางใหม่ๆ แล้วรักษาคุณภาพให้คงอยู่ และดีที่สุดเท่าที่เราได้ เมื่อเราอายุมากขึ้น บางทีเสียงมันก็จะมีแหบลง ต่ำลง เราเจอมลพิษมันก็จะไม่ใสเท่าเมื่อก่อนแล้ว แต่ว่าเราจะทำยังไงให้มันยังคงอยู่ได้ใกล้เคียงกับออริจินัล หรือสิ่งที่เราเคยเป็นมากที่สุด แล้วก็ไม่มีผลกระทบในระยะยาวมากที่สุด”

อย่างที่บอกว่าเธอยังคงสนุกและท้าทายกับสิ่งใหม่ที่จะเกิดขึ้นในวงการเพลงและแม้แต่กับเพลงของตัวเองอยู่เสมอ “รู้สึกว่า เสียงของเรายังพาเราไปได้ไกลอีก เรายังเดินทางไปได้กับมันอีกเรื่อยๆ จับมือกับมัน แล้วก็เดินไปกับมัน ตราบใดที่เรายังดูแลมันอย่างดี”

“ถ้าถามว่า เสียงของมาเรียมพามาเรียมไปได้ไกลขนาดไหนแล้ว ณ ตอนนี้ สิ่งหนึ่งที่มาเรียมภูมิใจมากๆ มากที่สุดคือ มาเรียมได้มีเสียงร้อง Ambient อยู่ในหนังของหว่อง กาไว แล้วก็ได้เจอเขาด้วยนะ เขามาทำที่เมืองไทย ตอนนั้นคือโมเมนต์ที่มาเรียมรู้สึกว่า มันดีมากๆ แล้วก็แฮปปี้มากๆ”

 

แม้เธอจะผ่านเพลงละครมานักต่อนักจนได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเจ้าแม่เพลงละครของเมืองไทยแล้ว มาเรียมยังบอกถึงฝันที่ไม่กล้าฝันของเธอให้กับเราว่า เธออยากร้องเพลงซีรีส์ของไทย และที่สุดคือ เพลงซีรีส์เกาหลี!

“มาเรียมรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้ โลกของดนตรีและวงการเพลงมันเปิดกว้างขึ้นมากๆ ทั้งเรื่องของการ Streaming ต่างๆ มันไม่ได้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เน็ตเวิร์กมันไปไกลมาก เพราะฉะนั้นใครบอกว่านักร้องไทยจะร้องซีรีส์เกาหลีไม่ได้ แต่ว่าซีรีส์ไทยกับหนังไทยก็ยังอยากร้องอยู่นะคะ” มาเรียมพูดแบบติดตลก

 

สุดท้ายแล้ว นอกจากบทบาทของการเป็นผู้ให้ ผู้มอบพลังใจ และผู้มอบความสุขผ่านทางเสียงเพลง มาเรียมก็มีความสุขกับการเป็นผู้รับเช่นกัน ไม่ว่าจะจากแฟนเพลงที่รักในบทเพลงและตัวตนของเธอ หรือจากศิลปินวงโปรด ก่อกำเนิดเป็นพลังงานให้กับชีวิตขับเคลื่อนไปกลับแบบไม่รู้จบ

“หลายๆ คนจะชอบบอกว่า เวลาเขาเห็นดอกทานตะวัน เขาจะนึกถึงมาเรียม เขาบอกว่าเหมือนมีความสดใส ดอกทานตะวันไปบานตรงไหนมันก็ดูเป็นศิลปะขึ้นมาทันที มาเรียมก็รู้สึกขอบคุณ มันเป็นคำชมที่ดีมากๆ ด้วยสีสันที่ซ้อนกับท้องฟ้า ดอกสีเหลือง เกสรสีน้ำตาล แล้วก็ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าๆ มาเรียมว่าสีมันสดใส และมีสีน้ำตาลที่ดูลึกลับอยู่ตรงกลาง มาเรียมว่า นั่นแหละน่าจะเป็นสิ่งที่มาเรียมเป็น”

“มาเรียมรู้สึกว่า มาเรียมอยากให้ทุกคนที่ได้ฟังเพลง ได้เสพงานของมาเรียม หรือได้เห็นได้คุยกับเรา แล้วรู้สึกดีเหมือนเวลาที่เห็นดอกทานตะวัน รู้สึกว่าชอบ รู้สึกอยากชื่นชม แล้วมันจะเป็นอะไรให้ก็ได้ เป็นดีว่าก็ได้ หรือว่าจะเป็นอินดี้ก็ได้"

"ถ้าคนที่ได้ฟังเสียงของเราแล้วเขารู้สึกดีมีความสุข มาเรียมเป็นได้หมด”


 


You've shown me I have reasons. I should love myself.

“จุดประสงค์นึงของการเป็นนักร้องของมาเรียม มากกว่าการเป็นตัวตนหรือใดๆ ก็คือ การที่มีคนคนนึงฟังแล้วบอกว่า หนูฟังเสียงพี่แล้ว หนูมีความสุขจัง หรือฉันฟังเสียงคุณแล้วมีกำลังใจ อยากเป็นอะไรก็ได้ที่ทำให้คนรู้สึกดี"

"มาเรียมชอบฟังเพลงวง BTS เขาจะสอนให้คนรักตัวเอง แล้วสิ่งนึงที่เขาทำคือ เขาอยากให้คนฟังเพลงรู้สึกดีขึ้น อยากให้ฟังแล้วมีกำลังใจ”

ภาพจำของ มาเรียม เกรย์​ ในสายตาผู้คนคือนักร้องสาวเสียงทรงพลัง ชนิดที่ไม่ว่าจะหยิบจับขับร้องเพลงไหน ก็กลายเป็นเพลงที่ตราตรึงประทับในใจผู้ฟังเสมอ นั่นทำให้เราอยากค้นลึกลงไปใน ‘เสียง’ สารตั้งต้นที่ก่อร่างสร้างความพิเศษจนกลายมาเป็นมาเรียมอย่างที่เรารู้จัก

แต่กว่าจะมาเป็นมาเรียมในทุกวันนี้ ตลอดชีวิตของเธอคือการเดินทางไปกับเสียง เส้นทางอาจจะคดเคี้ยว ขรุขระ หรือหลงทางไปบ้าง แต่ทุกอย่างหล่อหลอมให้เป็นเธอในวันนี้ด้วยความรักในเสียงดนตรี และความรักในตัวเอง

 

IIIi - VOICE OF MARIAM

เด็กผู้หญิงจากวงประสานเสียงประจำโรงเรียนในเมืองไทยที่ได้รับเลือกให้ร้องท่อนเดี่ยว หอบความฝันเต็มเปี่ยมของการเป็นนักร้องออกไปสู่โรงเรียนมัธยมปลายด้านดนตรีที่ออสเตรเลีย ที่ที่เธอได้เห็นโลกที่กว้างกว่าและความจริงที่ต้องยอมรับให้ได้

“มันเป็นโรงเรียนที่ต้องออดิชันเข้าไป มาเรียมก็ออดิชันผ่าน เข้าไปอย่างมั่นใจ แต่พอไปถึงที่นั่นแล้ว มันทำให้เรารู้ว่า เราคือ ปลาใหญ่ในบึงเล็ก โห เขาแค่อ้าปาก มันก็ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติแล้ว ทุกคนนะไม่ใช่แค่คนสองคน ทุกคนในห้องเรียนเราร้องเพลงได้ บางคนไม่ได้เอกร้องเพลงด้วยซ้ำ ยังร้องเพลงได้ดีกว่าเรา เราก็เลยรู้สึกว่า ไม่ได้แล้ว เราต้องขยันมากขึ้น”

แรงผลักดันจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวทำให้เธอใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกซ้อมจนเกิดผลลัพธ์เป็นความมั่นใจ นั่นทำให้เธอได้กลับมาทบทวนกับตัวเองว่า “แค่ตอนแรกที่เรามาถึงแล้วทุกคนเก่งกว่าเรา มันคือเพราะว่าเรายังไม่ได้เริ่มเลย เขาเรียนกันไปก่อนแล้ว แต่เราพึ่งมาถึง เมื่อความมั่นใจเราถูกทำลายไป มันก็เลยค่อยๆ ให้ตัวเองสร้างความมั่นใจใหม่ขึ้นมาที่ถูกต้องกว่าเดิม เพราะเราขยัน และเรียนรู้เทคนิคมากขึ้น”


แม้จะมีน้ำเสียงที่เป็นเหมือนพรสวรรค์มาจากฟ้า แต่พรแสวงย่อมต้องมาเพื่อช่วยพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ และครูคือบุคคลสำคัญที่บ่มเพาะมาเรียมให้เดินทางด้วยเอกลักษณ์ของตัวเองจนมาถึงทุกวันนี้

“มาเรียมรู้ว่าพื้นฐานของการสอนมันสำคัญกับคนนึงแค่ไหน แล้วมาเรียมโชคดีที่ได้ครูที่ไม่ได้พยายามป้อนตัวเองใส่เข้ามาในมาเรียม แต่ว่าครูคนนี้เขาดึงตัวเราออกมาด้วยเทคนิคของเขา”

“สิ่งแรกที่เขาให้เราทำคือให้เราร้องเพลง Happy Birthday เป็นธรรมดาพอต้องร้องเพลง เราก็เริ่มปั้นเสียง แต่เขาบอกนั่นไม่ใช่เธอ เขาบอกว่า ถ้าเธอเซอร์ไพรส์เพื่อนเธอคนนึง แล้วจะต้อง Happy Birthday เธอจะร้องยังไง ร้องให้ฉันฟังเดี๋ยวนี้ มาเรียมก็ ร้องด้วยเสียงตะโกน เท่านั้นแหละ นั่นแหละคือเสียงจริงของเรา เสียงพูดกับเสียงร้องให้ใช้เสียงเดียวกัน”

“มาเรียมว่าเพราะจุดนี้แหละ ทำให้เสียงร้องของมาเรียมไม่ได้เหมือนคนอื่นเท่าไหร่ เวลาใครฟังเขาจะรู้ว่าอันนี้เสียงมาเรียม เพราะว่าเราใช้เสียงพูดของเรานี่แหละเป็นเสียงร้องค่ะ”

 

หลังจากวันนี้ เสียงก็เป็นผู้พามาเรียมเดินสู่เส้นทางของการเป็นนักร้องเต็มตัวอย่างที่ตั้งใจ เส้นทางดูจะสวยงามเหมือนดังฝัน ได้เรียนต่อเฉพาะทางในสายการร้องเพลงที่ตัวเองรัก ได้เข้าร่วมวงดนตรีกับกลุ่มเพื่อนสนิทในนาม B5 ได้มีคอนเสิร์ตและร่วมงานกับศิลปินระดับประเทศหลายคน 

แต่แล้วความเงียบงันก็กลับเข้ามาครอบงำแทนที่ในวันที่กลับมายังบ้านเกิดหลังจากเรียนจบ

 

IIIi - LIFE IS A JOURNEY

“พอเรียนจบ มาเรียมแอบกลับมาเมืองไทยได้ 3 เดือน กลายเป็นว่าไม่มีอะไรทำอยู่นานมาก จนกลับไปสมัครงานที่แคนเบอร์รา และได้งานที่โรงหนังที่นึง เน้นสายงานบริการลูกค้า ซึ่งมาเรียมสนุกกับงานมากนะ จนลืมเรื่องการร้องเพลงไปเลย ตอนนั้นเหมือนกับว่า สุดท้ายความฝันกับความจริงคงไม่ได้เหมือนกัน ถึงจะมีความสุขมาก แต่ข้างในมันเหมือนขาดอะไรไปอย่างหนึ่ง”

แต่แล้วก็เหมือนสวรรค์ส่งเสียงมาโปรด ดึงเธอให้กลับมาคิดทบทวนกับตัวเองอีกครั้งว่า ‘คิดถึงการร้องเพลงจัง’


“ตอนนั้นเลื่อนขั้นไปเป็นผู้จัดการแล้วนะ ตอนนั้นหน้าหนาว มาเรียมกำลังนั่งพิมพ์รีพอร์ต แล้วก็ยืดเส้นยืดสาย มองไปรอบๆ ออฟฟิศ แล้วก็ถามตัวเองว่า เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงนะ แล้วก็เริ่มคิดถึงการร้องเพลงขึ้นมา จนกระทั่งวันหนึ่งมาเรียมนอนแช่อ่างอยู่ เปิดทีวีทิ้งไว้ข้างนอก แล้วก็ได้ยินเสียง Maxwell นักร้องที่ชื่นชอบในรายการ Late Night Show by David Letterman เอ้ย! เขาหายไป 9 ปีแล้ว แล้วก็คัมแบ็กมากับเพลงใหม่ซึ่งเพราะมาก มันทำให้เราอยากกลับมาร้องเพลงอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ลืมไปแล้ว”

นั่นคือการตัดสินใจครั้งสำคัญที่ทำให้เธอเดินทางกลับมาเมืองไทย จากเดิมที่คิดว่าเพียงแค่ 6 เดือนก็พอ โอกาสพามาให้ร้องคอรัสให้กับ Groove Riders ในการทัวร์สหรัฐอเมริกา ร้องคอรัสให้ เบน-ชลาทิศ เพื่อนรัก จนได้มาเป็นเสียงหลักในเพลง ‘อยากเป็นคนนั้น’ กับวง AB Normal จากคำชักชวนของฟองเบียร์ นักแต่งเพลง การตอบรับอย่างดีนำไปสู่เพลงถัดมา ‘หัวใจไม่อยู่กับตัว’ ที่เหมือนกับกลายเป็นเพลงประจำตัวของเธอไปแล้ว


 “แต่ถามว่า ความที่เราวาดฝันไว้กับความเป็นจริงเป็นเหมือนกันไหม มันก็เป็นนะ เพียงแต่ว่าเราต้องอดทนรอ บางอย่างมันไม่ได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว บางอย่างมันไม่ได้แค่ข้ามวันแล้วก็มันก็เกิดขึ้นแล้ว เพียงแค่ว่า เราจะอดทนรอได้นานแค่ไหนเพื่อให้ความฝันเกิดขึ้น”

“มาเรียมเชื่อว่า ชีวิตคนเรามีวิธีที่จะหมุนพวงมาลัย หักเหให้เรามาอยู่ในจุดที่เหมาะสมกับเราที่สุด ทำไมตอนนั้นที่มาเรียมอยู่ที่ออสเตรเลีย ทำงานโรงหนังมันก็ดีนะ เงินก็ดี แล้วทำอะไร ทำไม สุดท้ายเราก็ต้องเลิกทำตรงนั้น แล้วมาอยู่ในจุดที่เรามีความสุขที่สุดมากกว่า”

‘เวลาและโอกาส’ คือสองสิ่งสำคัญที่เธอเชื่อมั่นว่าเป็นปัจจัยที่บันดาลให้ผลลัพธ์เกิดขึ้นได้ “มาเรียมจะชอบพูดเสมอว่า หลายๆ ครั้ง เรากลับไปขอบคุณความเสียใจ ความผิดหวัง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา เพราะว่า นั่นแหละคือสิ่งที่พาเรามาสู่จุดที่เหมาะกับเราที่สุด ถ้าเราไม่เสียใจจากตรงนั้น เราจะไม่มาอยู่จุดนี้เลย เพราะเราจะอยู่แค่ตรงนั้นตลอด”

 

IIIi - LIFELONG HAPPINESS 

“หลายคนจะชอบมองว่า มาเรียมเป็นนักร้องที่ใช้พลังเสียง มาเรียมอาจจะเคยฟัง Mariah Carey หรือ Whitney Houston แบบผ่านๆ ก็ชอบฟังนะ เพราะดี แต่นักร้องที่มาเรียมฟังจริงๆ คือ Joni Mitchell หรือ Bob Dylan ซึ่งเป็นแนวโฟล์ก”

มาเรียมไม่ตีกรอบให้กับการฟังเพลง เพราะเธอเชื่อว่านี่คือการอัปเดตตัวเองให้เท่าทันโลกอยู่เสมอ เรียนรู้ที่จะเดินทางไปพร้อมกับโลกของผู้คน ที่เธอเรียกมันว่าเป็นการปรับตัวกับดนตรี “มันทำให้ข้างในเราใหม่อยู่เสมอ”

“พวกเทรนด์ใหม่ๆ มาเรียมเอามาใช้ยังไงกับตัวเองในปัจจุบันบ้าง อย่างการหาช่องร้องเพลงใหม่ๆ ฝึกบางช่องที่เราไม่เคยใช้ การใช้เสียงลม ซึ่งมันอาจจะยากสำหรับเราในการต้องมาฝึกใหม่ แต่ว่าไม่ได้ทิ้งของเก่านะ เราแค่เหมือนกดซื้อปลักอินเพิ่มให้ตัวเองมากขึ้น รวมถึงการทำพวก Sound Design อาจจะไม่ได้เก่งมาก เราต้องเรียนรู้กับมัน แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะทำไมได้ นี่แหละคือความสนุก และก็เรากำลังปรับเอามาใช้ เราเอามาฝึกตัวเอง มาพัฒนาตัวเองให้ร่วมสมัยอยู่เรื่อยๆ”

“แล้วก็ไม่เคยรู้สึกว่า ฉันเป็นรุ่นพี่ของวงการแล้ว เรารู้สึกว่าเราเรียนรู้จากน้องๆ ได้ อย่างทุกวันนี้เราฟัง BowkyLion ฟัง Tilly Birds เราเห็นว่าน้องๆ เขาสอนอะไรเราได้บ้าง และเราต้องยอมที่จะให้ตัวเองเป็นผู้เรียนรู้จากคนรุ่นใหม่ด้วยค่ะ"

 

และแล้ว เสียงก็พามาเรียมเดินทางมาจนถึงวันนี้ วันที่ ‘นักร้อง’ ได้กลายเป็นอาชีพจริงๆ อย่างที่เธอเคยวาดฝันไว้ สิ่งที่ยากกว่าคือการรักษาอาชีพที่รักนี้เอาไว้หล่อเลี้ยงหัวใจให้ตราบนานเท่านาน เธอบอกกับเราว่า ‘การดูแลตัวเอง’ คือสิ่งสำคัญที่สุด

“การที่เราจะอยู่ต่อไปได้นานๆ ความยั่งยืนอย่างหนึ่งที่เราจะต้องออกกำลังกายกับเสียงเรา วอร์มอัป ค้นหาทางใหม่ๆ แล้วรักษาคุณภาพให้คงอยู่ และดีที่สุดเท่าที่เราได้ เมื่อเราอายุมากขึ้น บางทีเสียงมันก็จะมีแหบลง ต่ำลง เราเจอมลพิษมันก็จะไม่ใสเท่าเมื่อก่อนแล้ว แต่ว่าเราจะทำยังไงให้มันยังคงอยู่ได้ใกล้เคียงกับออริจินัล หรือสิ่งที่เราเคยเป็นมากที่สุด แล้วก็ไม่มีผลกระทบในระยะยาวมากที่สุด”

อย่างที่บอกว่าเธอยังคงสนุกและท้าทายกับสิ่งใหม่ที่จะเกิดขึ้นในวงการเพลงและแม้แต่กับเพลงของตัวเองอยู่เสมอ “รู้สึกว่า เสียงของเรายังพาเราไปได้ไกลอีก เรายังเดินทางไปได้กับมันอีกเรื่อยๆ จับมือกับมัน แล้วก็เดินไปกับมัน ตราบใดที่เรายังดูแลมันอย่างดี”

“ถ้าถามว่า เสียงของมาเรียมพามาเรียมไปได้ไกลขนาดไหนแล้ว ณ ตอนนี้ สิ่งหนึ่งที่มาเรียมภูมิใจมากๆ มากที่สุดคือ มาเรียมได้มีเสียงร้อง Ambient อยู่ในหนังของหว่อง กาไว แล้วก็ได้เจอเขาด้วยนะ เขามาทำที่เมืองไทย ตอนนั้นคือโมเมนต์ที่มาเรียมรู้สึกว่า มันดีมากๆ แล้วก็แฮปปี้มากๆ”

 

แม้เธอจะผ่านเพลงละครมานักต่อนักจนได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเจ้าแม่เพลงละครของเมืองไทยแล้ว มาเรียมยังบอกถึงฝันที่ไม่กล้าฝันของเธอให้กับเราว่า เธออยากร้องเพลงซีรีส์ของไทย และที่สุดคือ เพลงซีรีส์เกาหลี!

“มาเรียมรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้ โลกของดนตรีและวงการเพลงมันเปิดกว้างขึ้นมากๆ ทั้งเรื่องของการ Streaming ต่างๆ มันไม่ได้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เน็ตเวิร์กมันไปไกลมาก เพราะฉะนั้นใครบอกว่านักร้องไทยจะร้องซีรีส์เกาหลีไม่ได้ แต่ว่าซีรีส์ไทยกับหนังไทยก็ยังอยากร้องอยู่นะคะ” มาเรียมพูดแบบติดตลก

 

สุดท้ายแล้ว นอกจากบทบาทของการเป็นผู้ให้ ผู้มอบพลังใจ และผู้มอบความสุขผ่านทางเสียงเพลง มาเรียมก็มีความสุขกับการเป็นผู้รับเช่นกัน ไม่ว่าจะจากแฟนเพลงที่รักในบทเพลงและตัวตนของเธอ หรือจากศิลปินวงโปรด ก่อกำเนิดเป็นพลังงานให้กับชีวิตขับเคลื่อนไปกลับแบบไม่รู้จบ

“หลายๆ คนจะชอบบอกว่า เวลาเขาเห็นดอกทานตะวัน เขาจะนึกถึงมาเรียม เขาบอกว่าเหมือนมีความสดใส ดอกทานตะวันไปบานตรงไหนมันก็ดูเป็นศิลปะขึ้นมาทันที มาเรียมก็รู้สึกขอบคุณ มันเป็นคำชมที่ดีมากๆ ด้วยสีสันที่ซ้อนกับท้องฟ้า ดอกสีเหลือง เกสรสีน้ำตาล แล้วก็ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าๆ มาเรียมว่าสีมันสดใส และมีสีน้ำตาลที่ดูลึกลับอยู่ตรงกลาง มาเรียมว่า นั่นแหละน่าจะเป็นสิ่งที่มาเรียมเป็น”

“มาเรียมรู้สึกว่า มาเรียมอยากให้ทุกคนที่ได้ฟังเพลง ได้เสพงานของมาเรียม หรือได้เห็นได้คุยกับเรา แล้วรู้สึกดีเหมือนเวลาที่เห็นดอกทานตะวัน รู้สึกว่าชอบ รู้สึกอยากชื่นชม แล้วมันจะเป็นอะไรให้ก็ได้ เป็นดีว่าก็ได้ หรือว่าจะเป็นอินดี้ก็ได้"

"ถ้าคนที่ได้ฟังเสียงของเราแล้วเขารู้สึกดีมีความสุข มาเรียมเป็นได้หมด”


 


Text:

Nathanich C.

Nathanich C.

PHOTO:

Chanathip K.

Chanathip K.

Related Posts